เรื่องมันมีอยู่ว่า....
แฟนของดิฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถและเสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 เดือนดิฉันก็ได้รู้จัก พูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่งทาง social ค่ะ
เราคุยกันถูกคอมากเพราะแฟนเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคเนื้องอกในสมอง เราจึงเข้าใจกันและกัน และปลอบใจกันมาโดยตลอด
เวลาผ่านไป 2 เดือน เราก็เริ่มมีความรู้สึกดีๆให้กันมากขึ้น ก็พัฒนามาคุยทางโทรศัพท์กัน คุยกันสักระยะก็เริ่มนัดเจอกัน ไปกินข้าวดูหนังด้วยกัน และมันก็บ่อยขึ้นเรื่อยๆ และเราก็เป็นแฟนกันในที่สุด ภายในระยะเวลา 5 เดือน ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมารู้สึกดีมากๆค่ะ มีความสุขมาก จากนั้นเขาก็ขอให้ดิฉันลบรูปแฟนเก่าดิฉันออกจาก Facebook ให้หมด เขาให้เหตุผลว่าเขาไม่สบายใจเมื่อเห็นรูปพวกนั้น ดิฉันก็ตัดสินใจอยู่นานพอสมควรเพราะมันเป็นความทรงจำดีๆของดิฉัน แต่แล้วเพื่อตัดปัญหาการทะเลาะกันดิฉันก็ยอมลบค่ะ
แต่แล้ว....หลังจากนั้นไม่นานเราก็เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น ทั้งๆที่ก็เจอกันบ่อยขึ้น และดูแลกันมากขึ้น เราทะเลาะกันทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ จากที่เคยโทรหาบ่อยๆก็กลายเป็นน้อยลง จนดิฉันต้องเป็นฝ่ายโทรหาเอง เมื่อเขารับสายก็จะหงุดหงิดใส่ตลอด เขาเริ่มบ่นว่าอยากมีเวลาส่วนตัว ดิฉันก็ให้เขาค่ะ ดิฉันหายไป 1 อาทิตย์ เขาไม่โทรกลับมาเลย เมื่อดิฉันโทรกลับไป เขาก็ไม่รับค่ะ โทรบ่อยเข้าเขาก็รับและหงุดหงิดใส่ตลอด เขาบอกว่า”อยู่กับเพื่อน กำลังยุ่งอยู่ ต้องรีบส่งรายงาน “ แล้วก็รีบว่างสายไป
อีก 1 อาทิตย์ผ่านมาก็โทรไปอีกค่ะ ตั้งใจจะคุยให้รู้เรื่อง แต่เขาไม่รับโทรสับค่ะ ปิดเครื่องเป็นระยะๆ ดิฉันจึงรอไม่ไหว ขึ้นรถไปหาค่ะ ตั้งใจจะเคลียร์ให้จบค่ะเพราะร้อนใจมาก แล้วก็ส่งข้อความไปว่า..”กำลังขึ้นรถไปหานะ ยังไงวันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” เขาก็โทรกลับมาทันทีเลย น้ำเสียงเขาตกใจมาก “ จะมาทำไม ไม่ว่าง ไม่ต้องมาทำรายงานกับเพื่อนอยู่” แล้วก็รีบวางสายไปเหมือนเดิม ... โทรกลับก็ไม่รับเหมือนเดิม จึงส่งข้อความไปอีกว่า “ยังไงวันนี้เราก็ต้องคุยกัน” เขาก็โทรกลับมาว่า “ไม่ได้อยู่ห้อง ตอนนี้มาเดินเที่ยวอนุสาวรีย์ฯกับเพื่อนๆ ดิฉันจึงขอคุยกับเพื่อน เขาก็บอก “เขามาคนเดียว” ดิฉันจึงบอกไปว่า”ดิฉันรอได้ นานแค่ไหนก็จะรอ”
เมื่อไปถึงก็รออยู่สักพักใหญ่ๆค่ะ แล้วเขาก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ตาแดงๆเหมือนร้องให้มา ตอนนั้นอารมณ์โกรธหายไปหมดเลยค่ะ เพราะคิดว่าเขาต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ เขาต้องมีเหตุผลของเขา เราจึงคุยกันด้วยเหตุผล พยายามใจเย็นที่สุด แล้วก็ได้ความว่า....”เขาแอบไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันแต่เรียนคนละที่กันค่ะ เพื่อนมาพักอยู่กับเขาสองอาทิตย์แล้ว และเมื่อคืนเพื่อนจึงชวนไปเที่ยวร้านเหล้าใกล้ๆหอเพื่อน และพักอยู่ด้วยกันที่หอเพื่อน ซึ่งเพื่อนขอร้องให้เอาคอมฯโน้ตบุ๊ก และอุปกรณ์ทั้งหมดไป ด้วย โดยบอกว่าจะให้เขาช่วยลงโปรแกรมให้ แต่แล้วหลังจากเที่ยวกันเสร็จก็หลับไปด้วยความเมา ตื่นมาก็พบว่า ตัวเองนอนอยู่หน้าหอพักแล้ว เหลือแต่กระเป๋าเงิน ที่มีเงินไปกี่ร้อยบาท เมื่อคืนเขาเมามากจึงจำเลขห้องไม่ได้”
ได้ฟังที่เขาบอกแล้วสงสารค่ะ ลืมเรื่องที่โกรธมาทั้งหมดเลย แล้วเขาก็ขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนเขา เพื่อไปตามหาเพื่อนคนนั้น เพราะเขาไม่กล้าบอกเพื่อนๆเขา ดิฉันก็ไปค่ะ ไม่อยากถามอะไรเขามากเพราะรู้ว่าเขาคงรู้สึกแย่มากๆ ได้แต่จับมือปลอบใจเขา ให้เขารู้ว่าอย่างนี้ก็ยังมีดิฉันที่พร้อมอยู่ข้างๆเขาในวันที่เขามีปัญหา วันนั้นเราตามหาเพื่อนคนนั้นจนเช้าค่ะ ไม่เจอ จึงบอกให้เขาไปแจ้งความ แต่ลังเลค่ะ เขาบอกกลัวเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ชายคนนั้นก็เพื่อนสนิท และไม่อยากให้ที่บ้านรู้ แต่ดิฉันก็บังคับให้ไปแจ้งความจนได้ วันนั้นทั้งค่ารถ ค่าอาหารดิฉันออกให้ทั้งหมด เพราะเขาบอกเขาไม่มีเงินเลย(เขาเรียนอยู่คณะวิศวะคอมฯที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนดิฉันเรียนมหาวิทยารัฐบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งค่ะ)
เมื่อไปถึงโรงพัก ความก็แตก เมื่อได้ยินคำให้การของเขา ฟังแล้วได้ความจริงเพิ่มเติมว่า....”เพื่อนเขาคนนั้นเป็นเกย์ค่ะ และมีแก๊งเพื่อนกระเทยอยู่ด้วย เขาร่วมหลับนอนกับเพื่อนเกย์คนนั้นด้วย ทั้งๆที่เขาไม่รู้จักชื่อจริง นามสกุลจริงของเพื่อนคนนั้นเลย และก่อนหน้านี้ที่เขาหายไปก็เพราะอยู่กับเพื่อนคนนี้”…อึ้งไปเลยค่ะ ดิฉันนิ่งไปพักนึง พร้อมพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เขามีเครื่องสำอางเยอะมาก, เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันจะมีเกย์หรือกระเทยเข้ามาจีบตลอด, โกรธมากเวลามีเพื่อนบอกว่าเขาเหมือนเกย์, เขาไม่ชอบเวลาที่ดิฉันล้อเล่นโดยการตีก้นเขา เขาจะโมโหมาก และเขาไม่เคยแตะเนื้อต้องดิฉันอย่างคนรักกันเลย
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวดค่ะ เขาหลอกเราทำไม? เขาคบเราเพียงแค่ต้องการปกปิดตัวตนของเขาเท่านั้นหรือ? ตอนนั้นทั้งสบสน ทั้งมึนทั้งงงไปหมด มันพูดไม่ออกค่ะ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ระหว่างทางกลับเราไม่พูดอะไรกันเลยค่ะ เงียบมาตลอดทาง เมื่อกลับมาถึงดิฉันก็เก็บของเตรียมกลับหอพักของดิฉัน แต่แล้วเขาก็ดึงแขนดิฉันไว้ แล้วพูดว่า “เราต้องส่งงานอาทิตย์หน้า แต่เราไม่มีคอมฯทำงาน เรายืมคอมฯเธอหน่อยได้ไหม เสร็จแล้วจะคืน” ดิฉันไม่พูดอะไรทั้งนั้น แล้วหันหน้าออกเพื่อจะเดินออกมา แต่เขาก็ยื้อไว้ และอ้อนวอนจนดิฉันยอมใจอ่อน เพราะเห็นว่าเขาเดือดร้อนจริงๆ ก็ให้ยืมไปค่ะ
แต่ถึงเวลาคืนเขาก็ผลัดวันไปเรื่อยๆ โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีเงินซื้อใหม่ และเริ่มติดต่อไม่ได้ ดิฉันเองก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน ตอนนั้นเดือดร้อนมากต้องยืมเพื่อนใช้บ้าง ใช้ส่วนรวมของมหาลัยบ้าง เวลาผ่านไปเดือนกว่าค่ะ ที่บ้านเริ่มสงสัยว่าคอมฯหายไปไหน ก็โกหกไปว่าเก็บไว้หอ จนพี่สาวต้องการจับผิดโดยการขอยืมใช้บ้าง เพราะมีงานด่วน ดิฉันจึงส่งข้อความไปทาง Facebook ว่าต้องใช้ด่วน พร้อมกำหนดวันเวลาที่จะไปรับคืน เขาก็ตกลงค่ะ
เมื่อได้ของคืนดิฉันตั้งใจจะกลับทันทีค่ะ แต่เขาขอให้ไปเป็นเพื่อนซื้อคอมฯใหม่ก่อน ก็ไปเป็นเพื่อนค่ะ
ก่อนไปซื้อเขาก็แวะกดเงินค่ะ ดิฉันก็อดไม่ได้ที่จะแอบดูยอดเงินในบัญชีของเขา และต้องอึ้งเป็นรอบที่สองค่ะ....”เขามียอดเงินในบัญชีเกือบสองแสนบาท” ….ดิฉันพยายามรอบรวมข้อมูลอีกครั้งค่ะ ...เขาชอบบ่นว่าไม่มีเงินกินข้าว จนดิฉันต้องเลี้ยงหลายครั้ง, เวลาไปเที่ยวกันเขาจะอยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากให้เราซื้อให้ (แต่ก็ไม่ได้ซื้อให้เพราะทางบ้านดิฉันก็ไม่ได้มีฐานะอะไร ทุกวันนี้เรียนโดยกู้เงิน กยศ.) และเขาก็สามารถซื้อคอมฯใหม่ได้ตั้งแต่แรก แต่เขาไม่ซื้อ”...โกรธมากค่ะ โกรธตัวเองด้วยที่โง่ซ้ำซ้อน อารมณ์ตอนนั้น ทั้งโมโห ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งเจ็บและแค้นมากๆ มีแต่คำถามเกิดขึ้นเต็มไปหมด...ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆ? เราไปทำอะไรให้เขา? เขาเห็นเราโง่ขนาดนั้นเลยหรอ?...แต่ก็พยายามควบคุมสติอยู่จนเขาซื้อเสร็จเรียบร้อย โดยไม่พูดอะไรเลย และหันหลังเดินจากมาอย่างเงียบๆ แต่โกรธมากจนมือไม้สั่น แต่พูดไม่ออกจริงๆ ตอนนั้นคิดได้แค่ต้องเดินออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด แต่ก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ค่ะ มาปล่อยโฮอยู่ที่ป้ายรถเมล์อย่างไม่อายใคร สักพักพอตั้งสติได้ก็ขึ้นรถกลับหอเลย ระหว่างทางน้ำตาก็ไหลมาตลอดทาง มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆค่ะ มันแย่มากๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ ค่ะ นึกขึ้นได้ลืมของสำคัญไว้ จึงโทรติดต่อกลับไปเพื่อต้องการของคืน แต่เขาไม่รับสาย และตัดสายทิ้งตลอด จึงติดต่อทาง Facebook โดยใช้วีดีโอคอลค่ะ เขาพยายามไม่รับ แต่ดิฉันก็ส่งข้อความไปว่ารับหน่อยมีเรื่องสำคัญจริงๆ เขาจึงยอมวีดีโอคอลด้วย เขาทำหน้าหงุดหงิดใส่และตะคอกใส่ว่า …“ทำไม มีอะไร มันน่าจะจบได้แล้วนะ จะเอาอะไรอีก ผู้หญิงอย่างเธอไม่มีผู้ชายคนไหนอยากอยู่ด้วยหรอก ไม่มีใครทนได้หรอก จำไว้!!”...แล้วก็ปิดไปโดยที่ดิฉันยังไม่พูดอะไรเลย งงและอึ้งอีกครั้งค่ะ....”เราไปทำอะไรให้เขาโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่?? เขาลืมไปแล้วหรอว่าเราเคยช่วยเหลือเขาไว้มากมาย?? เขาลืมไปแล้วหรอว่าเราเคยจ่ายค่ายาและดูแลเขายามเขาเจ็บป่วย?? ทำไมต้องทำสีหน้า ท่าทาง และแววตาที่ดูเหมือนจะโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ?? คนที่ต้องโกรธมันควรเป็นฉันไม่ใช่หรอ??
หลังจากนั้นเขาก็บล็อกเฟสดิฉันไปเลยค่ะ ได้ข่าวว่าเขาคบผู้หญิงคนใหม่ เพื่อปกปิดตัวตนของเขาต่อไป เขาเคยบอกว่าพ่อเขาเป็นทหาร และเกลียดพวกกระเทยมาก และตั้งแต่วันนั้นมาเวลาผ่านไป 4 เดือนแล้ว ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาดิฉันไม่มีความสุขเลย ดิฉันโกรธและแค้นฝังใจมาตลอด พยายามลืมก็ลืมไม่ได้ นอนไม่ค่อยจะหลับ พยายามให้อภัยเขา คิดเสียว่าเป็นกรรมของเรา แต่ก็ได้แค่คิดค่ะ ดิฉันทำอย่างที่คิดไม่ได้
สองวันก่อนโทรไปอีกครั้งค่ะ เพราะพ่อถามหาพระเครื่องที่เคยให้ไว้ ว่าหายไปไหน ดิฉันจึงหน้าด้านโทรไปทวงของอีกครั้งค่ะ เขาก็รับด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน และโกรธเกลียดกันมาก เขา: ทำไม มีอะไร!! ดิฉัน: อยากได้พระเครื่องของพ่อที่ลืมไว้คืนอ่ะ จะกลับบ้านเมื่อไหร่แวะมาคืนได้ไหม? เขา: ไม่ได้!! ไม่รู้!! ดิฉัน: งั้นส่งมาให้ได้ไหม? เขา: เออๆ!! เดี๋ยวส่งให้!! แล้วตัดสายไปเลย...
ยิ่งเพิ่มความเจ็บใจและแค้นใจให้ดิฉันเป็นอย่างมาก
ดิฉันจึงมาตั้งกระทู้นี้เพื่อต้องการระบายส่วนหนึ่ง เพราะไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฟังเลย อายในความโง่ของตัวองค่ะ และอีกส่วนหนึ่งคือต้องการความคิดเห็นจากทุกท่าน ว่าถ้าเป็นท่านจะทำอย่างไร
ขอโทษที่มันยาวไปนะคะอัดอั้นมานานค่ะ และขอขอบคุณท่านที่เสียสละเวลามาอ่านกระทู้ของดิฉันมากๆ ดิฉันขอน้อมรับทุกความคิดเห็น
ขอบพระคุณค่ะ_/\_
ทั้งเจ็บทั้งแค้นเมื่อรู้ว่าแฟนเป็นเกย์ จะทำอย่างไรดี???
แฟนของดิฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถและเสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 เดือนดิฉันก็ได้รู้จัก พูดคุยกับผู้ชายคนหนึ่งทาง social ค่ะ
เราคุยกันถูกคอมากเพราะแฟนเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคเนื้องอกในสมอง เราจึงเข้าใจกันและกัน และปลอบใจกันมาโดยตลอด
เวลาผ่านไป 2 เดือน เราก็เริ่มมีความรู้สึกดีๆให้กันมากขึ้น ก็พัฒนามาคุยทางโทรศัพท์กัน คุยกันสักระยะก็เริ่มนัดเจอกัน ไปกินข้าวดูหนังด้วยกัน และมันก็บ่อยขึ้นเรื่อยๆ และเราก็เป็นแฟนกันในที่สุด ภายในระยะเวลา 5 เดือน ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมารู้สึกดีมากๆค่ะ มีความสุขมาก จากนั้นเขาก็ขอให้ดิฉันลบรูปแฟนเก่าดิฉันออกจาก Facebook ให้หมด เขาให้เหตุผลว่าเขาไม่สบายใจเมื่อเห็นรูปพวกนั้น ดิฉันก็ตัดสินใจอยู่นานพอสมควรเพราะมันเป็นความทรงจำดีๆของดิฉัน แต่แล้วเพื่อตัดปัญหาการทะเลาะกันดิฉันก็ยอมลบค่ะ
แต่แล้ว....หลังจากนั้นไม่นานเราก็เริ่มทะเลาะกันบ่อยขึ้น ทั้งๆที่ก็เจอกันบ่อยขึ้น และดูแลกันมากขึ้น เราทะเลาะกันทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ จากที่เคยโทรหาบ่อยๆก็กลายเป็นน้อยลง จนดิฉันต้องเป็นฝ่ายโทรหาเอง เมื่อเขารับสายก็จะหงุดหงิดใส่ตลอด เขาเริ่มบ่นว่าอยากมีเวลาส่วนตัว ดิฉันก็ให้เขาค่ะ ดิฉันหายไป 1 อาทิตย์ เขาไม่โทรกลับมาเลย เมื่อดิฉันโทรกลับไป เขาก็ไม่รับค่ะ โทรบ่อยเข้าเขาก็รับและหงุดหงิดใส่ตลอด เขาบอกว่า”อยู่กับเพื่อน กำลังยุ่งอยู่ ต้องรีบส่งรายงาน “ แล้วก็รีบว่างสายไป
อีก 1 อาทิตย์ผ่านมาก็โทรไปอีกค่ะ ตั้งใจจะคุยให้รู้เรื่อง แต่เขาไม่รับโทรสับค่ะ ปิดเครื่องเป็นระยะๆ ดิฉันจึงรอไม่ไหว ขึ้นรถไปหาค่ะ ตั้งใจจะเคลียร์ให้จบค่ะเพราะร้อนใจมาก แล้วก็ส่งข้อความไปว่า..”กำลังขึ้นรถไปหานะ ยังไงวันนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” เขาก็โทรกลับมาทันทีเลย น้ำเสียงเขาตกใจมาก “ จะมาทำไม ไม่ว่าง ไม่ต้องมาทำรายงานกับเพื่อนอยู่” แล้วก็รีบวางสายไปเหมือนเดิม ... โทรกลับก็ไม่รับเหมือนเดิม จึงส่งข้อความไปอีกว่า “ยังไงวันนี้เราก็ต้องคุยกัน” เขาก็โทรกลับมาว่า “ไม่ได้อยู่ห้อง ตอนนี้มาเดินเที่ยวอนุสาวรีย์ฯกับเพื่อนๆ ดิฉันจึงขอคุยกับเพื่อน เขาก็บอก “เขามาคนเดียว” ดิฉันจึงบอกไปว่า”ดิฉันรอได้ นานแค่ไหนก็จะรอ”
เมื่อไปถึงก็รออยู่สักพักใหญ่ๆค่ะ แล้วเขาก็กลับมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ตาแดงๆเหมือนร้องให้มา ตอนนั้นอารมณ์โกรธหายไปหมดเลยค่ะ เพราะคิดว่าเขาต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ เขาต้องมีเหตุผลของเขา เราจึงคุยกันด้วยเหตุผล พยายามใจเย็นที่สุด แล้วก็ได้ความว่า....”เขาแอบไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันแต่เรียนคนละที่กันค่ะ เพื่อนมาพักอยู่กับเขาสองอาทิตย์แล้ว และเมื่อคืนเพื่อนจึงชวนไปเที่ยวร้านเหล้าใกล้ๆหอเพื่อน และพักอยู่ด้วยกันที่หอเพื่อน ซึ่งเพื่อนขอร้องให้เอาคอมฯโน้ตบุ๊ก และอุปกรณ์ทั้งหมดไป ด้วย โดยบอกว่าจะให้เขาช่วยลงโปรแกรมให้ แต่แล้วหลังจากเที่ยวกันเสร็จก็หลับไปด้วยความเมา ตื่นมาก็พบว่า ตัวเองนอนอยู่หน้าหอพักแล้ว เหลือแต่กระเป๋าเงิน ที่มีเงินไปกี่ร้อยบาท เมื่อคืนเขาเมามากจึงจำเลขห้องไม่ได้”
ได้ฟังที่เขาบอกแล้วสงสารค่ะ ลืมเรื่องที่โกรธมาทั้งหมดเลย แล้วเขาก็ขอร้องให้ไปเป็นเพื่อนเขา เพื่อไปตามหาเพื่อนคนนั้น เพราะเขาไม่กล้าบอกเพื่อนๆเขา ดิฉันก็ไปค่ะ ไม่อยากถามอะไรเขามากเพราะรู้ว่าเขาคงรู้สึกแย่มากๆ ได้แต่จับมือปลอบใจเขา ให้เขารู้ว่าอย่างนี้ก็ยังมีดิฉันที่พร้อมอยู่ข้างๆเขาในวันที่เขามีปัญหา วันนั้นเราตามหาเพื่อนคนนั้นจนเช้าค่ะ ไม่เจอ จึงบอกให้เขาไปแจ้งความ แต่ลังเลค่ะ เขาบอกกลัวเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ชายคนนั้นก็เพื่อนสนิท และไม่อยากให้ที่บ้านรู้ แต่ดิฉันก็บังคับให้ไปแจ้งความจนได้ วันนั้นทั้งค่ารถ ค่าอาหารดิฉันออกให้ทั้งหมด เพราะเขาบอกเขาไม่มีเงินเลย(เขาเรียนอยู่คณะวิศวะคอมฯที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนดิฉันเรียนมหาวิทยารัฐบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งค่ะ)
เมื่อไปถึงโรงพัก ความก็แตก เมื่อได้ยินคำให้การของเขา ฟังแล้วได้ความจริงเพิ่มเติมว่า....”เพื่อนเขาคนนั้นเป็นเกย์ค่ะ และมีแก๊งเพื่อนกระเทยอยู่ด้วย เขาร่วมหลับนอนกับเพื่อนเกย์คนนั้นด้วย ทั้งๆที่เขาไม่รู้จักชื่อจริง นามสกุลจริงของเพื่อนคนนั้นเลย และก่อนหน้านี้ที่เขาหายไปก็เพราะอยู่กับเพื่อนคนนี้”…อึ้งไปเลยค่ะ ดิฉันนิ่งไปพักนึง พร้อมพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เขามีเครื่องสำอางเยอะมาก, เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันจะมีเกย์หรือกระเทยเข้ามาจีบตลอด, โกรธมากเวลามีเพื่อนบอกว่าเขาเหมือนเกย์, เขาไม่ชอบเวลาที่ดิฉันล้อเล่นโดยการตีก้นเขา เขาจะโมโหมาก และเขาไม่เคยแตะเนื้อต้องดิฉันอย่างคนรักกันเลย
ยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวดค่ะ เขาหลอกเราทำไม? เขาคบเราเพียงแค่ต้องการปกปิดตัวตนของเขาเท่านั้นหรือ? ตอนนั้นทั้งสบสน ทั้งมึนทั้งงงไปหมด มันพูดไม่ออกค่ะ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ระหว่างทางกลับเราไม่พูดอะไรกันเลยค่ะ เงียบมาตลอดทาง เมื่อกลับมาถึงดิฉันก็เก็บของเตรียมกลับหอพักของดิฉัน แต่แล้วเขาก็ดึงแขนดิฉันไว้ แล้วพูดว่า “เราต้องส่งงานอาทิตย์หน้า แต่เราไม่มีคอมฯทำงาน เรายืมคอมฯเธอหน่อยได้ไหม เสร็จแล้วจะคืน” ดิฉันไม่พูดอะไรทั้งนั้น แล้วหันหน้าออกเพื่อจะเดินออกมา แต่เขาก็ยื้อไว้ และอ้อนวอนจนดิฉันยอมใจอ่อน เพราะเห็นว่าเขาเดือดร้อนจริงๆ ก็ให้ยืมไปค่ะ
แต่ถึงเวลาคืนเขาก็ผลัดวันไปเรื่อยๆ โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีเงินซื้อใหม่ และเริ่มติดต่อไม่ได้ ดิฉันเองก็จำเป็นต้องใช้เหมือนกัน ตอนนั้นเดือดร้อนมากต้องยืมเพื่อนใช้บ้าง ใช้ส่วนรวมของมหาลัยบ้าง เวลาผ่านไปเดือนกว่าค่ะ ที่บ้านเริ่มสงสัยว่าคอมฯหายไปไหน ก็โกหกไปว่าเก็บไว้หอ จนพี่สาวต้องการจับผิดโดยการขอยืมใช้บ้าง เพราะมีงานด่วน ดิฉันจึงส่งข้อความไปทาง Facebook ว่าต้องใช้ด่วน พร้อมกำหนดวันเวลาที่จะไปรับคืน เขาก็ตกลงค่ะ
เมื่อได้ของคืนดิฉันตั้งใจจะกลับทันทีค่ะ แต่เขาขอให้ไปเป็นเพื่อนซื้อคอมฯใหม่ก่อน ก็ไปเป็นเพื่อนค่ะ
ก่อนไปซื้อเขาก็แวะกดเงินค่ะ ดิฉันก็อดไม่ได้ที่จะแอบดูยอดเงินในบัญชีของเขา และต้องอึ้งเป็นรอบที่สองค่ะ....”เขามียอดเงินในบัญชีเกือบสองแสนบาท” ….ดิฉันพยายามรอบรวมข้อมูลอีกครั้งค่ะ ...เขาชอบบ่นว่าไม่มีเงินกินข้าว จนดิฉันต้องเลี้ยงหลายครั้ง, เวลาไปเที่ยวกันเขาจะอยากได้โน่นอยากได้นี่ อยากให้เราซื้อให้ (แต่ก็ไม่ได้ซื้อให้เพราะทางบ้านดิฉันก็ไม่ได้มีฐานะอะไร ทุกวันนี้เรียนโดยกู้เงิน กยศ.) และเขาก็สามารถซื้อคอมฯใหม่ได้ตั้งแต่แรก แต่เขาไม่ซื้อ”...โกรธมากค่ะ โกรธตัวเองด้วยที่โง่ซ้ำซ้อน อารมณ์ตอนนั้น ทั้งโมโห ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งเจ็บและแค้นมากๆ มีแต่คำถามเกิดขึ้นเต็มไปหมด...ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆ? เราไปทำอะไรให้เขา? เขาเห็นเราโง่ขนาดนั้นเลยหรอ?...แต่ก็พยายามควบคุมสติอยู่จนเขาซื้อเสร็จเรียบร้อย โดยไม่พูดอะไรเลย และหันหลังเดินจากมาอย่างเงียบๆ แต่โกรธมากจนมือไม้สั่น แต่พูดไม่ออกจริงๆ ตอนนั้นคิดได้แค่ต้องเดินออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด แต่ก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ค่ะ มาปล่อยโฮอยู่ที่ป้ายรถเมล์อย่างไม่อายใคร สักพักพอตั้งสติได้ก็ขึ้นรถกลับหอเลย ระหว่างทางน้ำตาก็ไหลมาตลอดทาง มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆค่ะ มันแย่มากๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ ค่ะ นึกขึ้นได้ลืมของสำคัญไว้ จึงโทรติดต่อกลับไปเพื่อต้องการของคืน แต่เขาไม่รับสาย และตัดสายทิ้งตลอด จึงติดต่อทาง Facebook โดยใช้วีดีโอคอลค่ะ เขาพยายามไม่รับ แต่ดิฉันก็ส่งข้อความไปว่ารับหน่อยมีเรื่องสำคัญจริงๆ เขาจึงยอมวีดีโอคอลด้วย เขาทำหน้าหงุดหงิดใส่และตะคอกใส่ว่า …“ทำไม มีอะไร มันน่าจะจบได้แล้วนะ จะเอาอะไรอีก ผู้หญิงอย่างเธอไม่มีผู้ชายคนไหนอยากอยู่ด้วยหรอก ไม่มีใครทนได้หรอก จำไว้!!”...แล้วก็ปิดไปโดยที่ดิฉันยังไม่พูดอะไรเลย งงและอึ้งอีกครั้งค่ะ....”เราไปทำอะไรให้เขาโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่?? เขาลืมไปแล้วหรอว่าเราเคยช่วยเหลือเขาไว้มากมาย?? เขาลืมไปแล้วหรอว่าเราเคยจ่ายค่ายาและดูแลเขายามเขาเจ็บป่วย?? ทำไมต้องทำสีหน้า ท่าทาง และแววตาที่ดูเหมือนจะโกรธเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อน ?? คนที่ต้องโกรธมันควรเป็นฉันไม่ใช่หรอ??
หลังจากนั้นเขาก็บล็อกเฟสดิฉันไปเลยค่ะ ได้ข่าวว่าเขาคบผู้หญิงคนใหม่ เพื่อปกปิดตัวตนของเขาต่อไป เขาเคยบอกว่าพ่อเขาเป็นทหาร และเกลียดพวกกระเทยมาก และตั้งแต่วันนั้นมาเวลาผ่านไป 4 เดือนแล้ว ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาดิฉันไม่มีความสุขเลย ดิฉันโกรธและแค้นฝังใจมาตลอด พยายามลืมก็ลืมไม่ได้ นอนไม่ค่อยจะหลับ พยายามให้อภัยเขา คิดเสียว่าเป็นกรรมของเรา แต่ก็ได้แค่คิดค่ะ ดิฉันทำอย่างที่คิดไม่ได้
สองวันก่อนโทรไปอีกครั้งค่ะ เพราะพ่อถามหาพระเครื่องที่เคยให้ไว้ ว่าหายไปไหน ดิฉันจึงหน้าด้านโทรไปทวงของอีกครั้งค่ะ เขาก็รับด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน และโกรธเกลียดกันมาก เขา: ทำไม มีอะไร!! ดิฉัน: อยากได้พระเครื่องของพ่อที่ลืมไว้คืนอ่ะ จะกลับบ้านเมื่อไหร่แวะมาคืนได้ไหม? เขา: ไม่ได้!! ไม่รู้!! ดิฉัน: งั้นส่งมาให้ได้ไหม? เขา: เออๆ!! เดี๋ยวส่งให้!! แล้วตัดสายไปเลย...
ยิ่งเพิ่มความเจ็บใจและแค้นใจให้ดิฉันเป็นอย่างมาก
ดิฉันจึงมาตั้งกระทู้นี้เพื่อต้องการระบายส่วนหนึ่ง เพราะไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฟังเลย อายในความโง่ของตัวองค่ะ และอีกส่วนหนึ่งคือต้องการความคิดเห็นจากทุกท่าน ว่าถ้าเป็นท่านจะทำอย่างไร
ขอโทษที่มันยาวไปนะคะอัดอั้นมานานค่ะ และขอขอบคุณท่านที่เสียสละเวลามาอ่านกระทู้ของดิฉันมากๆ ดิฉันขอน้อมรับทุกความคิดเห็น
ขอบพระคุณค่ะ_/\_